Image
1st audience with St. Pope John Paul II at the Papal Palace in the Vatican in November, 1996.
Image
2nd audience with Pope Benedict XVI in front of St. Peter on June 11, 2008.
Author

เกี่ยวกับผู้แต่ง

ฉันไม่ใช่เป็นนักเขียนมืออาชีพ

ฉันเป็นนักธุรกิจธรรมดาๆ คนหนึ่งในประเทศไทย ฉันควรจะเป็นแค่เลขานุการผู้บริหาร (Management Trainee) เมื่อตอนฉันเริ่มทำงานครึ่งศตวรรษที่แล้ว แต่ฉันได้เป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในวัยเพียง 25 ปี แต่ต่อมา เช่นเดียวกับบทของหมอที่เล่นโดย Harrison Ford ในภาพยนตร์เรื่อง “The Fugitive” ฉันถูกกล่าวหาในอาชญากรรมที่ฉันไม่ได้ก่อ ฉันต้องใช้เวลาถึง 14 ปีในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งช่วงหนึ่งต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ต่างแดน ในที่สุดได้เกิดอัศจรรย์ที่ทำให้ฉันหลุดพ้นจากทุกข้อกล่าวหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด ฉันใช้เวลาอีก 6 ปีในการรักษาหัวใจที่แตกสลายด้วยความทุกข์และความเจ็บปวดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ในระยะเวลาที่ฉันได้ทนทุกข์ทรมานอันยาวนานนั้น ฉันกลับได้ค้นพบพระเจ้า และเพราะพระหรรษทานของพระองค์ ฉันจึงสามารถให้อภัยแก่ทุกคนที่ทำร้ายฉันได้

มันช่างเป็นช่วงที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างเหลือเกินสำหรับชีวิตของฉัน จังหวะที่ฉันหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ ด้านกฎหมาย เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ประสบกับภาวะที่คนเรียกกันว่า “ต้มยำกุ้ง” พอดี ในขณะที่ฉันอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะหัวใจได้แตกสลายอย่างยับเยินและต้องการใครสักคนมาเป็นที่พึ่งและให้กำลังใจ สามีของฉันก็ได้ทิ้งครอบครัวของเราไป ปล่อยให้ฉันต้องเลี้ยงดูลูกๆ 4 คนตามลำพัง

อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และหมดหวัง ฉันไม่มีใครเป็นที่พึ่งจริงๆ ฉันหันไปหาพระเจ้า ฉันสวดภาวนาอย่างร้อนรนด้วยความหวัง ความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ แล้วพระเจ้าก็ทรงได้ยินคำภาวนาและการร้องขอของฉัน แม้ว่าในขณะนั้นฉันจะยังไม่ได้เป็นคริสตชนก็ตาม!

ทุกวันนี้ ฉันเป็นคุณม่าที่มีความสุขของหลานๆ เป็นคุณแม่ที่ภาคภูมิใจของลูกๆ 4 คนที่เติบใหญ่ ฉันเป็นประธานกรรมการของสองบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของประเทศไทย ผลิตฉากกั้นอาบน้ำและกระจกนิรภัยแปรรูปทุกชนิด

ที่สำคัญที่สุด ขณะนี้ฉันเป็นคริสตชนที่สัตย์ซื่อและถวายชีวิตทั้งครบในการรับใช้พระเจ้าและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันเขียน พูดแบ่งปัน และแม้กระทั่งวาดภาพเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันต้องการเป็นสะพานเชื่อมเพื่อนำความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปสัมผัสจิตใจของทุกคนที่มารู้จักฉัน

ขอให้ท่านเป็นหนึ่งในท่านเหล่านั้นเทอญ

สาเหตุที่ต้องมาเขียนหนังสือเล่มนี้ ?

ในเดือนกรกฎาคม 2008 Nelson Mandela ประธานาธิบดีสีผิวคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำ (Statesman) ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกคนหนึ่ง ได้ฉลองวันคล้ายวันเกิดที่ 90 ปีของท่าน ไทม์แมกกาซีนได้ตีพิมพ์เรื่องราวชีวิตของท่านอย่างละเอียด และสรุปชีวิตของท่านด้วยประโยคสั้นๆ สองประโยค ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ฉันเป็นอย่างยิ่ง.

“กุญแจดอกสำคัญในชีวิตของ Mandela คือ ระยะเวลาในคุกนั้น เขาเข้าไปด้วยความดื้อร้นและจิตใจว้าวุ่น และกลับออกมามีวินัยและสมดุล”

Book

ถ้ามีใครสักคนมาถามฉันให้บรรยายถึงการออกจากป่าชีวิตในวัย 51 ปี ฉันจะตอบว่าอย่างไร ฉันจะตอบสั้นๆ เพียงหนึ่งประโยค

“ฉันออกมาอย่างมีความสุข”

ได้อย่างไร ?

นี่คือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้.

เรื่องราวชีวิตที่ถูกกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ได้ทำ สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์หลังจาก 14 ปี ค้นพบพระเจ้าในระหว่างทาง สามารถให้อภัยทุกคนที่ทำผิดต่อฉัน และในที่สุดก็สามารถกลับมาสู่สภาวะเดิมได้ทุกอย่างทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทางการเงิน ไม่ควรจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้โดยเปล่าประโยชน์ ฉันตัดสินใจนำความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานอันยาวนานมาเปลี่ยนเป็นสิ่งมีคุณค่าและมีประโยชน์ หนังสือเล่มนี้จึงได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาไทยในปี 2009 และได้รับการแจกเป็นของขวัญแก่ผู้มาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบ 5 รอบของฉันในเดือนมิถุนายนในปีนั้น วัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้คือ การเป็นพยานว่าพระเจ้ามีจริง ทรงพระเมตตา และเป็นองค์แห่งความรัก.

ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยเหลียวหลังกลับอีกเลย ฉันได้รับเชิญให้ไปออกรายการเจาะใจที่มีผู้ชมเกือบ 10% ของประชากรของประเทศไทยในขณะนั้น ฉันได้รับเชิญให้ไปพูดแบ่งปันตามการชุมนุมทางศาสนา โดยเฉพาะการประชุมพระเมตตาระดับทวีปและระดับโลก รวมทั้งในสังฆมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศไทย จากการเรียกร้องของผู้ฟังในทุกประเทศที่ฉันไปพูด ฉันจึงตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษชื่อ “Moving the Mountain” by Mary Sarindhorn และได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบ e-book บน. www.amazon.com แต่ผู้ฟังก็ยังคงต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ในลักษณะรูปเล่ม ในที่สุด ฉันจึงตัดสินใจมอบโอนลิขสิทธิ์พร้อมทั้งรายได้ทั้งหมดจากการพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเล่มนี้ฉบับภาษาอังกฤษที่เป็นรูปเล่มให้แก่สังฆมณฑล Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนมกราคม 2017

ในวัย 70 ขณะนี้ นี่คือ การแนะนำตัวเองของฉัน “ฉันเป็นข้ารับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้า เป็นแม่และคุณม่าที่มีความสุข และเป็นนักธุรกิจ ตามลำดับ” ฉันยังคงเขียนบทเขียนของฉันในชื่อว่า “บทสวดของฉัน” ได้ถูกส่งไปยังผู้รับเดือนละสองฉบับ และฉันก็วาดภาพถวายแด่พระเจ้าด้วย ผู้อ่านสามารถอ่านบทเขียนและชมภาพวาดของฉันได้ใน 'www.thaicatholicbible.com'. ถ้าหัวใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและพระพรของพระเจ้า มันจะปรี่ล้นออกมา นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังทำทุกวันนี้ แบ่งปันความรักและพระพรของพระเจ้าแก่ทุกคนที่ดูเว็บไซต์นี้.

ขอพระเจ้าประทานพระพรให้แก่ทุกท่านเทอญ.

บันทึกของผู้แต่ง

ความจริงเกี่ยวกับชีวิต

ท่านเคยคิดไหมว่า มนุษย์เราเกิดมาทำไม? ฉันเชื่อว่าคงต้องมีหลายท่านที่เคยถามคำถามนี้ แล้วท่านได้คำตอบไหม? หลายท่านอาจจะได้แล้ว ในขณะที่บางท่านอาจจะยังไม่ได้ จากประสบการณ์ของฉันเอง ผู้ที่ถามคำถามนี้กับตัวเองส่วนใหญ่จะเคยผ่านความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ยี่สิบปีได้ถูกกระชากออกจากชีวิตของฉัน จากวัย 31 ปี ถึง 51 ปี ควรจะเป็นช่วงที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่สุดในชีวิต แต่ฉันกลับต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในวัยนั้นในฐานะผู้ลี้ภัย และต้องใช้เวลาถึง 14 ปีเต็ม ในการต่อสู้อย่างสุดกำลังในการได้มาซึ่งความยุติธรรมในความผิดที่ฉันไม่ได้เป็นผู้กระทำ และด้วยอัศจรรย์ ฉันจึงสามารถหลุดพ้นจากบ่วงกรรมอันโหดร้ายนั้นได้ แต่ฉันต้องใช้เวลาอีก 6 ปีเต็มในการเยียวยารักษาแผลให้กับตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในระหว่างระยะเวลาอันทุกข์ทรมานที่ยาวนาน ฉันถามตัวเองจนเบื่อที่จะตอบว่า ฉันเกิดมาทำไม? และเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร?

ในทางพุทธศาสนา มีคำตอบ พุทธศาสนิกชนเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด ในหลักกรรม ใครมีชีวิตเป็นเช่นไรในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำในชาติก่อนหรือก่อนๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย แต่ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่เปลี่ยนไปเป็นคริสตชนเพราะเกิดอัศจรรย์ที่ทำให้ฉันหลุดพ้นจากคดีอันไม่เป็นธรรมได้อย่างน่าทึ่งที่สุด พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงทำให้เกิดอัศจรรย์นั้นได้.

ฉันเริ่มแสวงหาพระเจ้า.

ฉันศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความตั้งใจและความเชื่อความศรัทธา และเริ่มปฏิบัติตนตามพระวาจาในพระคัมภีร์นั้น ในเวลาเดียวกัน ฉันก็สวดอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน ในที่สุดกว่าฉันจะรู้ตัว ฉันก็ค้นพบว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ในใจฉันได้อันตรธานสิ้น สิ่งที่มาอยู่แทนที่ในหัวใจฉันคือ พระเจ้า!.

ฉันได้เข้าใจว่าพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์ ทุกคนเกิดมาโดยมีเป้าหมายในชีวิตแต่ละคน แต่ในที่สุดคือ การรับใช้พระองค์ เรารักเพื่อนมนุษย์ เราช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าเรา เราประกาศข่าวดี ... เราปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ... เหล่านี้คือ การรับใช้พระองค์

ความทุกข์คือ ส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อย่าให้ความทุกข์ฉุดท่านให้จมลงสู่ก้นบึ้งแห่งความหมดหวัง ตรงกันข้าม ทำไมไม่หมุนกลับและนำพลังจากความทุกข์นั้นมาทำความดีเล่า? ฉันนำ 20 ปีแห่งความทุกข์ทรมานของฉันมาเป็นเรื่องราวที่จะนำผู้คนมารู้จักพระเจ้า ระหว่างทางฉันได้ค้นพบตัวเองและความหมายที่แท้จริงของชีวิต นั่นคือ การมีชีวิตอยู่ การรัก และการรับใช้

การเป็นพยาน

ตั้งแต่ฉันได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 2 มิถุนายน 1996 และเรื่องราวชีวิตของฉันได้ถูกตีแผ่ออกไป ฉันได้รับเชิญให้ไปพูดแบ่งปันทั้งในแวดวงพระศาสนจักรคาทอลิกและทางคริสตจักร ฉันได้ไปพูดแบ่งปันครบทั้ง 10 สังฆมณฑลในประเทศไทย ทั้งในงานชุมนุมของแต่ละสังฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร

ในเดือนตุลาคม 2012 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมพระเมตตาระดับเอเชีย ครั้งที่ 2 (AACOM II) พระสงฆ์ผู้ดูแลกำหนดการของการชุมนุมครั้งนั้นได้ขอให้ฉันเป็นฆราวาสผู้แบ่งปันหลักของงาน ฉันรับปากด้วยความยินดี มีผู้แทนจาก 10 ประเทศมาร่วมการชุมนุมในครั้งนั้น

ฉันไม่มีทางจะทราบได้เลยว่าการแบ่งปันครั้งนั้นจะทำให้ฉันได้รับเชิญไปพูดในระดับนานาชาติเป็นระยะต่อเนื่องในปีต่อๆ มา จนถึงปัจจุบัน ดังนี้.

  • PACOM II (The 2nd Philippines Apostolic Congress of Mercy) ที่เมือง El Salvador City ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 2 พฤษภาคม 2013
  • WACOM III (The 3rd World Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Bogota ประเทศโคลัมเบีย วันที่ 18 สิงหาคม 2014
  • AACOM III (The 3rd Asia Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Medan ประเทศอินโดนีเซีย วันที่ 14 ตุลาคม 2015
  • 51st IEC (The 51st International Eucharistic Congress) ที่เมือง Cebu ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 30 มกราคม 2016
  • PACOM III (The 3rd Philippines Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 10 มีนาคม 2016
  • งานกาล่าดินเนอร์หาทุนสร้างโรงเรียนแก่เด็กยากจนที่ Samar ที่เมือง Cebu ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 24 กันยายน 2016
  • งานเปิดตัวหนังสือ Moving the Mountain ฉบับรูปแล่มภาษาอังกฤษ ที่เมือง Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 14 มกราคม 2017
  • WACOM IV (The 4th World Apostolic Congress on Mercy) ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 17 มกราคม 2017
  • VACOM III (The 3rd Visayan Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Iloilo ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 6 ธันวาคม 2017
  • RACOM I (The 1st Region 8 Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Tacloban ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018

ในประเทศไทยเอง ฉันยังคงได้รับเชิญไปพูดแบ่งปันในโอกาสต่างๆ ของพระศาสนจักร รวมทั้งการได้รับการสัมภาษณ์ออกสื่อโทรทัศน์ในรายการต่างๆ นับเป็นกระแสเรียกพิเศษที่ฉันขอน้อมรับด้วยความยินดีและความถ่อมตน และจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด.

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้รับการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดเทอญ !

งานอดิเรกเพื่อถวายพระเกียรติ

1. การเขียนของฉัน

Book

ตอนที่ฉันรับศีลล้างบาปในปี 1996 นั้น ฉันเต็มไปด้วยความทุกข์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่ฉันสามารถหันไปหาเพื่อพักพิงและพึ่งพา ฉันสวดทูลขอพระองค์ พระองค์ทรงเงียบ ฉันจึงคิดว่าวันหนึ่งๆ มีผู้คนสวดทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์เป็นล้านๆ คน บทสวดภาวนาของฉันอาจจะหลงปะปนอยู่ท่ามกลางบทสวดภาวนาเหล่านั้น ด้วยความซื่อบริสุทธิ์ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องหาวิธีที่จะทำให้คำทูลขอของฉันไปถึงพระองค์เพิ่มเติมจากแค่การสวดภาวนาเท่านั้น ฉันเริ่มเขียน ฉันเล่าความทุกข์ความเจ็บปวดในหัวใจ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างทูลให้พระองค์ฟังอย่างหมดหัวใจ ด้วยความหวังว่า บทเขียนของฉันจะไปถึงพระองค์ แล้วมันก็บังเกิดผล! การได้ระบายความในใจออกมาเป็นตัวหนังสือทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจบรรเทาลงทันตาเห็น แน่นอนอยู่แล้วว่าที่ผ่านๆ มา พระเจ้าก็ทรงได้รับทราบถึงคำทูลขอจากการสวดภาวนาของฉันอย่างต่อเนื่อง และอาจจะทรงยิ้มในความไร้เดียงสาของฉันมาตลอดก็ได้!

ฉันเรียกบทเขียนของฉันว่า “บทสวดของฉัน” และได้เขียนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งผู้นำฆราวาสคนหนึ่งได้มีโอกาสอ่าน “บทสวดของฉัน” เขาสนใจจะนำ “บทสวดของฉัน” ไปลงในสารวัดของเขาที่พิมพ์ทุกวันอาทิตย์ ด้วยความถ่อมตนว่าบทเขียนของคริสตชนใหม่คนหนึ่งไม่น่าจะมีคุณค่าพอในการพิมพ์ใส่สารวัด ฉันควรจะหาอะไรเพิ่มเติมในบทเขียนของฉัน แล้วฉันก็คิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยได้อ่าน Guidepost เป็นหนังสือแมกกาซีนที่มีเรื่องราวสั้นๆ ของคริสตชนที่เป็นพยานถึงพระเจ้า แต่ละบทจะมีพระวาจาของพระเจ้ากำกับอยู่ในบริบทที่เกี่ยวข้อง ใช่แล้ว! นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันจะนำพระวาจาของพระเจ้ามาใส่ใน “บทสวดของฉัน” และนี่คือสิ่งที่ได้นำฉันให้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างตั้งใจและถ่องแท้จากนั้นเป็นต้นมา.

ฉันยังคงเขียน “บทสวดของฉัน” อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เดือนละสองบท หนึ่งร้อยบทแรกได้ถูกพิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรกของฉัน และได้มีการพิมพ์ถึง 3 ครั้ง ฉันกำลังจะเขียนถึงบทที่ 400 ในเวลาอันใกล้นี้ “บทสวดของฉัน” มีผู้อ่านทั้งทางอีเมล์และทางไปรษณีย์ และด้วยความกรุณาของพระสังฆราชองค์หนึ่งที่ลูกเคารพรัก ท่านให้โพสต์ลงบนเว็บไซต์ www.thaicatholicbible.com มองย้อนหลัง การเขียนก็เป็นกระแสเรียกอีกอย่างหนึ่งของฉันในการรับใช้พระองค์ที่ฉันไม่ทราบในตอนต้น .

ขอพระองค์ทรงได้รับการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดจากการเขียนของลูกเทอญ!.

การสรรเสริญเป็นของพระเจ้า!

2. การวาดภาพ

Book
Annunciazione

ลูกสาวคนโตของฉันชอบวาดภาพ สองทศวรรษก่อนเธอวาดภาพๆ หนึ่ง เป็นภาพแม่นกกับลูกนก 4 ตัว เป็นของขวัญที่ฉันไปงานรับประกาศนียบัตรมัธยมปลายของเธอ ฉันบอกกับตัวเองว่า “เธอคงได้รับพรสวรรค์ในการวาดรูปจากแม่” ฉันถามลูกสาวว่าจะวาดภาพต้องทำอย่างไร แล้วฉันก็ซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการวาดภาพกล่าวคือ ขาตั้ง ผ้าใบ สี ฯลฯ แล้วฉันก็เริ่มวาดโดยไม่เคยเรียนการวาดภาพเลย.

วาดสักพักหนึ่ง เพื่อนก็ได้ชวนไปเรียนกับศิลปินชาวอเมริกันผู้หนึ่งที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สักพักเดียว ครูชาวอเมริกันผู้นั้นก็กลับบ้านไป ฉันจึงตัดสินใจวาดเองต่อ เมื่อถึงขั้นหนึ่งก็เบื่อการวาดภาพวิวต่างๆ จึงคิดดำริวาดภาพวิถีชีวิตของคนไทย เป็นต้นว่า พระสงฆ์รับใส่บาตร ฯลฯ ลูกสาวคนเล็กจึงพูดกับฉันว่า “หม่ำมี้ขา เราเป็นคริสตชน ทำไมไม่วาดรูปทางศาสนาคริสต์เล่า?” ฉันตอบเธอไปว่า “รูปทางคริสต์วาดง่ายซะเมื่อไร่ล่ะ” “ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ” นั่นนะซิ ลูกสาวพูดถูก แล้วฉันก็ลงมือ เริ่มต้น ฉันศึกษางานของจิตรกรเอกระดับโลกที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคริสตศาสนา อาทิเช่น Caravaggio, Michelangelo, Leonardo da Vinci ฯลฯ ไหนๆ จะศึกษาทั้งที ทำไมไม่ศึกาจากระดับสูงสุดของโลกล่ะ ?

ฉันใช้เครื่องมือพิเศษในการวาดภาพทางศาสนาคือ หัวใจ! บวกกับความเชื่อ ความศรัทธา และคำสวดภาวนาในการวาดแต่ละภาพ กว่าฉันจะรู้ตัว ฉันก็ได้วาดภาพหลายภาพที่ฉันคิดว่ามีค่าเกินกว่าที่จะติดบนผนังในบ้านอันธรรมดาสามัญของฉัน ขณะนี้จึงมีภาพวาดของฉันแขวนอยู่ที่สถานเอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย สำนักมิสซังฯ อารามของคณะซิสเตอร์กลาริส คาปูชิน สามพราน ฯลฯ.

ในปี 2014 ฉันได้ไปเที่ยวประเทศสเปนกับลูกๆ และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมบ้านของ Picasso จิตรกรระดับโลกในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันมีความใฝ่ฝันอยากวาดภาพที่เป็นแบบ Surreal หรือแบบเล่าเรื่อง (Allegorical) ฉันจึงเริ่มต้นนำพระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์มาวาดเป็นภาพ เป็นต้นว่า จงรักศัตรู (ลูกา 6:27) เป็นต้น นับเป็นการวาดภาพที่เป็นซีรีส์จากพระคัมภีร์และพระสังฆราชผู้เปี่ยมด้วยใจกรุณาองค์เดียวกันก็ได้กรุณาให้อีกคอลัมน์หนึ่งบนเว็บไซต์ www.thaicatholicbible.com www.thaicatholicbible.com ชื่อว่า Art for God แก่ภาพวาดทางศาสนาทั้งหมดของฉัน.

ฉันยังวาดภาพอย่างต่อเนื่องและส่วนใหญ่จะในบริบทของศาสนาคริสต์ ฉันได้เรียนรู้ว่า เราสามารถถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งในงานอดิเรก!

การถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างสูงสุดคือ การดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าที่สุด!